ข้อแนะนำในการเลี้ยงปลาให้มีสุขภาพดี
ดังที่เราได้ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ปลาเป็นสิ่งที่มีชีวิตอย่างหนึ่ง และเป็นสัตว์เลี้ยงที่สามารถสร้างความเพลิดเพลินให้กับ
มนุษย์ผู้เลี้ยงได้ ฉะนั้นเราควรดูแลเอาใจใส่ปลาตู้ ให้เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
แต่ถ้าคนใดที่มีแต่ความอยากเลี้ยง แต่ไม่มีเวลาดูแลเอาใจใส่ เราไม่แนะนำให้เลี้ยงเพราะจะเป็นการทรมานสัตว์เสียเปล่า ๆ การเลี้ยงปลาตู้ให้มีสุขภาพดีนั้น นอกจากการดูแลเอาใจใส่แล้ว สิ่งสำคัญที่ควรสังเกตและคำนึงอยู่เสมอ ๆ มีอยู่ 6 อย่างด้วยกันคือ
1. ความแน่นของปลาในตู้
การเลี้ยงปลาจำนวนมากเกินไป ทั้งนี้อาจเป็นเพราะปลาที่เราเลี้ยงมีการแพร่พันธุ์ หรือเรานำมันมาใส่ไว้รวมกันมากเกินไป จะทำให้เกิดอันตรายต่อปลาได้ เพราะในขณะที่ตู้ปลามีพื้นที่จำกัดแต่จำนวนของปลาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามสัญชาตญาณของการอยู่รอด ปลาจะต่อสู้และกัดกันเอง ไม่ว่าจะเป็นปลาพันธุ์ใดก็ตามเพื่อลดจำนวนความหนาแน่นของปลาลง เมื่อปลามีจำนวนมากเกิน ปลาบางตัวที่อ่อนแอจะแสดงความผิดปกติ
สาเหตุที่นอกเหนือจากการกัดกันเองแล้วยังมีการแย่งออกซิเจนเพื่อใช้หายใจอีกด้วย และในขณะเดียวกันปลาแต่ละตัวจะคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา จึงเหมือนกับปลาต้องแย่งกันหายใจ ทำให้อึดอัด ปลาจึงป่วยและอาจตายไปในที่สุด การให้อาหารปลาจึงต้องมีมากตามจำนวนของปลา จนกระทั่งอาจให้อาหารคราวละมากเกินความต้องการของปลาจึงทำให้ปลาป่วยหรือมีสุขภาพที่ไม่ดี ฉะนั้นในการเลี้ยงปลาควรคำนึงถึงเรื่องความหนาแน่นของปลาด้วย
2. อาหารปลา
เรื่องอาหารการกินก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องระวังอย่างยิ่ง ปลาจะเจริญเติบโตได้ก็เพราะอาหารที่กินเข้าไปนั่นเอง มีหลายคนเข้าใจว่า การให้อาหารปลาคราวละมาก ๆ ทำให้ปลาอิ่มหนำอ้วนพีมีสุขภาพดี แต่ความจริงผิดถนัด ปลาไม่เหมือนกับคนที่กินได้แบบไม่ควบคุมตัวเองจนอ้วนท้วน การที่เราให้อาหารปลาคราวละมาก ๆ จนเกินความต้องการของปลานั้นทำให้เกิดอันตรายต่อปลามากกว่าการให้ปลาอดอาหาร ถ้าปลาอดอาหาร 7 วันปลาก็สามารถหาอาหารกินเองได้จากพืชน้ำที่เราเลี้ยงไว้หรือบรรดาสัตว์เล็ก ๆ ที่แฝงอยู่ในน้ำ
ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราใส่อาหารไว้ให้ปลาจนเหลือหมักหมมอยู่ในตู้นานวันเข้า น้ำในตู้จะเน่าเสีย ปลาที่น่ารัก ๆ จะพานตายไปในที่สุดเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้เลี้ยงนั่นเอง และอีกอย่างหนึ่งที่จะฝากข้อคิดไว้สำหรับผู้เลี้ยงปลาก็คือ อาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อปลามากที่สุดคืออาหารที่มาจากธรรมชาติ เช่น ลูกน้ำ ไรแดง ฯลฯ ส่วนพวกอาหารสำเร็จรูปนั้นใช่ว่าจะไม่ดี แต่ถ้าจะเปรียบแล้ว อาหารที่มาจากธรรมชาติจะดีกว่า และควรเปลี่ยนชนิดอาหารของปลาทุก ๆ สัปดาห์ เพราะจะทำให้ปลาไม่เบื่ออาหารที่เราให้จำเจอยู่ทุกวัน
3. อุณหภูมิน้ำ
ในบ้านเมืองเรา เรื่องอุณหภูมิน้ำนับว่าไม่ค่อยจะมีปัญหาสักเท่าไร เพราะสภาพอากาศโดยเฉพาะในภาคกลางอุณหภูมิจะไม่เปลี่ยนแปลงมาก ยกเว้นแต่ในภาคเหนือหรือชนบทไกล ๆ ที่มีอากาศหนาวเย็นในช่วงฤดูหนาว แต่จะว่าไปแล้วผู้ที่เลี้ยงปลาในบ้านที่เปิดแอร์คอนดิชั่นไว้ต้องมีการควบคุมอุณหภูมิของน้ำในตู้ปลาด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องใช้เทอร์โมมิเตอร์และเทอร์โมสแตทส์ในตู้ปลาของท่านอย่างแน่นอน
ในทางตรงกันข้ามผู้ที่เลี้ยงปลานอกบ้านหรือในบ้านที่ไม่ได้เปิดแอร์คอนดิชั่นจึงไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิดังกล่าว แต่ต้องระวัง อย่าวางตู้ปลาไว้ในที่แดดลงจัดหรือแสงแดดส่องกระทบโดยตรง เพราะแดดเมืองไทยแรงมากทำให้น้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้น และสูงเกินความอดทนของปลาได้ จึงเหมือนกับเป็นการต้มปลากินนั่นเอง เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นบ่อย ๆ สำหรับผู้หัดเลี้ยงปลาตู้และไม่ค่อยระวังเรื่องแสงแดด
การเลี้ยงปลาตู้ที่ดีนั้นควรให้อุณหภูมิของน้ำในตู้เปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด ทั้งนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ปลาไม่ต้องปรับอุณหภูมิในตัวมากแล้ว ยังช่วยไม่ให้เชื้อโรคต่าง ๆ เจริญเติบโตได้ เพราะเชื้อโรคจะหยุดการเจริญเติบโต หรือเจริญเติบโตได้ช้าในอุณหภูมิที่ไม่เปลี่ยนแปลง อีกอย่างหนึ่งก็คือการทำให้อุณหภูมิน้ำคงที่จะช่วยให้การแพร่พันธุ์ของปลาเป็นไปได้ดี
4. แสงสว่าง
แสงสว่างมีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อปลา เพราะแสงสว่างไม่ว่าจะเป็นแสงแดดหรือแสงที่มาจากโคมไฟ จะช่วยทำให้ตู้ปลาสว่างขึ้น เราสามารถเห็นปลาที่เราเลี้ยงได้ชัดเจนอีกทั้งแสงสว่างจะช่วยในการสังเคราะห์แสงของพืชน้ำในตู้ปลาช่วยให้เจริญเติบโตขึ้น ปลาจึงสามารถกินต้นไม้น้ำเป็นอาหารได้
และดังที่ได้กล่าวไว้ในข้อ 3 เรื่องแสงแดดที่ส่องมาที่ตู้ปลาไม่ควรเป็นแสงที่จัดนัก หรือโคมไฟส่องตู้ปลาก็ไม่ควรจะแรงมาก เพราะอุณหภูมิน้ำจะเปลี่ยนสูงขึ้น ทำให้เกิดอันตรายกับปลาได้ ควรใช้หลอดไฟที่มีขนาดไม่เกิน 25 วัตต์ จึงจะ เหมาะสม และควรเป็นแสงที่ส่องลงมาที่พื้นผิวน้ำจะเหมาะที่สุด
อย่าใช้ไฟที่ส่องจากด้านข้างตู้เป็นอันขาด เพราะไฟที่ส่องด้านข้างจะช่วยให้พยาธิตัวแบนเจริญเติบโตรวดเร็ว ซึ่ง
เป็นอันตรายต่อปลาอย่างมาก
5. ค่ากรด-ด่างของน้ำ และการถ่ายเทของน้ำในตู้ปลา
ค่าความเป็นกรด-ด่าง หรือค่าความถ่วงจำเพาะของสารละลายที่ปนอยู่ในน้ำก็มีผลต่อปลาที่เลี้ยงเหมือนกัน เพราะสิ่งที่มีชีวิตที่เรามองไม่เห็นจะเจริญเติบโตในน้ำได้ดี ถ้าน้ำในตู้ปลามีสารละลายเจือปนอยู่มาก
การถ่ายเทและการหมุนเวียนของน้ำก็สำคัญ เมื่อน้ำไม่มีการหมุนเวียน เหล่าบรรดาก๊าซที่เป็นพิษหรือเป็นที่ไม่ต้องการของปลาจะสะสมมากขึ้น ทำให้ปลาอึดอัด หายใจไม่สะดวก เกิดอันตรายต่อปลาได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นควรมีการถ่ายน้ำเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
6. เชื้อโรค
สาเหตุการป่วยของปลาส่วนใหญ่มักจะเกิดมาจากเชื้อโรค เพราะปลาต้องคลุกคลีสัมผัสอยู่กับเชื้อต่าง ๆ ที่ปะปนอยู่ในน้ำตลอดเวลา เชื้อโรคแต่ละชนิดจะทำอันตรายต่อปลาได้รุนแรงแตกต่างกัน การรักษาปลาที่ป่วยด้วยการติดเชื้อโรค
นั้นจะหายามาป้อนก็ไม่ได้ เพราะปลาไม่เหมือนกับสัตว์ชนิดอื่น ๆ
วิธีการรักษาแบบพื้น ๆ ที่สุดที่ทำกันมานานคือการฆ่าเชื้อโรคในตัวปลาโดยการนำเกลือป่นมาละลายน้ำในอัตราส่วน 2-3 ช้อนชา ต่อน้ำ 4-5 ลิตร แล้วนำปลามาแช่ ควรมีการควบคุมอุณหภูมิให้เป็นปกติตามสภาพอากาศในขณะนั้น อย่าให้น้ำเกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิมาก ปล่อยปลาให้ว่ายน้ำอยู่ในน้ำละลายเกลือนั้นแล้วสังเกตอาการจนกว่าจะดีขึ้น แต่ควรแยกเลี้ยงไว้ก่อน เพราะถ้าปล่อยไปรวมกับตัวอื่น ๆ ในตู้ จะทำให้ตัวอื่นติดเชื้อได้ ให้แน่ใจเสียก่อนว่าปลาที่ป่วยนั้นหายดีแล้วนอกจากนั้นการที่เราจะนำปลาตัวใหม่ที่เพิ่งซื้อมาใส่รวมในตู้ปลาก็ควรทำความสะอาดหรือฆ่าเชื้อโรคเสียก่อนเพื่อป้องกันการติดเชื้อมาจากที่อื่น โดยการนำปลาตัวใหม่มาแช่ในน้ำละลายเกลือป่นตามอัตราส่วนข้างต้นสักพัก แล้วปล่อยไปรวมกับปลาตัวอื่น ๆ ในตู้ได้
ดังที่เราได้ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ปลาเป็นสิ่งที่มีชีวิตอย่างหนึ่ง และเป็นสัตว์เลี้ยงที่สามารถสร้างความเพลิดเพลินให้กับ
มนุษย์ผู้เลี้ยงได้ ฉะนั้นเราควรดูแลเอาใจใส่ปลาตู้ ให้เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
แต่ถ้าคนใดที่มีแต่ความอยากเลี้ยง แต่ไม่มีเวลาดูแลเอาใจใส่ เราไม่แนะนำให้เลี้ยงเพราะจะเป็นการทรมานสัตว์เสียเปล่า ๆ การเลี้ยงปลาตู้ให้มีสุขภาพดีนั้น นอกจากการดูแลเอาใจใส่แล้ว สิ่งสำคัญที่ควรสังเกตและคำนึงอยู่เสมอ ๆ มีอยู่ 6 อย่างด้วยกันคือ
1. ความแน่นของปลาในตู้
การเลี้ยงปลาจำนวนมากเกินไป ทั้งนี้อาจเป็นเพราะปลาที่เราเลี้ยงมีการแพร่พันธุ์ หรือเรานำมันมาใส่ไว้รวมกันมากเกินไป จะทำให้เกิดอันตรายต่อปลาได้ เพราะในขณะที่ตู้ปลามีพื้นที่จำกัดแต่จำนวนของปลาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามสัญชาตญาณของการอยู่รอด ปลาจะต่อสู้และกัดกันเอง ไม่ว่าจะเป็นปลาพันธุ์ใดก็ตามเพื่อลดจำนวนความหนาแน่นของปลาลง เมื่อปลามีจำนวนมากเกิน ปลาบางตัวที่อ่อนแอจะแสดงความผิดปกติ
สาเหตุที่นอกเหนือจากการกัดกันเองแล้วยังมีการแย่งออกซิเจนเพื่อใช้หายใจอีกด้วย และในขณะเดียวกันปลาแต่ละตัวจะคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา จึงเหมือนกับปลาต้องแย่งกันหายใจ ทำให้อึดอัด ปลาจึงป่วยและอาจตายไปในที่สุด การให้อาหารปลาจึงต้องมีมากตามจำนวนของปลา จนกระทั่งอาจให้อาหารคราวละมากเกินความต้องการของปลาจึงทำให้ปลาป่วยหรือมีสุขภาพที่ไม่ดี ฉะนั้นในการเลี้ยงปลาควรคำนึงถึงเรื่องความหนาแน่นของปลาด้วย
2. อาหารปลา
เรื่องอาหารการกินก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องระวังอย่างยิ่ง ปลาจะเจริญเติบโตได้ก็เพราะอาหารที่กินเข้าไปนั่นเอง มีหลายคนเข้าใจว่า การให้อาหารปลาคราวละมาก ๆ ทำให้ปลาอิ่มหนำอ้วนพีมีสุขภาพดี แต่ความจริงผิดถนัด ปลาไม่เหมือนกับคนที่กินได้แบบไม่ควบคุมตัวเองจนอ้วนท้วน การที่เราให้อาหารปลาคราวละมาก ๆ จนเกินความต้องการของปลานั้นทำให้เกิดอันตรายต่อปลามากกว่าการให้ปลาอดอาหาร ถ้าปลาอดอาหาร 7 วันปลาก็สามารถหาอาหารกินเองได้จากพืชน้ำที่เราเลี้ยงไว้หรือบรรดาสัตว์เล็ก ๆ ที่แฝงอยู่ในน้ำ
ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราใส่อาหารไว้ให้ปลาจนเหลือหมักหมมอยู่ในตู้นานวันเข้า น้ำในตู้จะเน่าเสีย ปลาที่น่ารัก ๆ จะพานตายไปในที่สุดเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้เลี้ยงนั่นเอง และอีกอย่างหนึ่งที่จะฝากข้อคิดไว้สำหรับผู้เลี้ยงปลาก็คือ อาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อปลามากที่สุดคืออาหารที่มาจากธรรมชาติ เช่น ลูกน้ำ ไรแดง ฯลฯ ส่วนพวกอาหารสำเร็จรูปนั้นใช่ว่าจะไม่ดี แต่ถ้าจะเปรียบแล้ว อาหารที่มาจากธรรมชาติจะดีกว่า และควรเปลี่ยนชนิดอาหารของปลาทุก ๆ สัปดาห์ เพราะจะทำให้ปลาไม่เบื่ออาหารที่เราให้จำเจอยู่ทุกวัน
3. อุณหภูมิน้ำ
ในบ้านเมืองเรา เรื่องอุณหภูมิน้ำนับว่าไม่ค่อยจะมีปัญหาสักเท่าไร เพราะสภาพอากาศโดยเฉพาะในภาคกลางอุณหภูมิจะไม่เปลี่ยนแปลงมาก ยกเว้นแต่ในภาคเหนือหรือชนบทไกล ๆ ที่มีอากาศหนาวเย็นในช่วงฤดูหนาว แต่จะว่าไปแล้วผู้ที่เลี้ยงปลาในบ้านที่เปิดแอร์คอนดิชั่นไว้ต้องมีการควบคุมอุณหภูมิของน้ำในตู้ปลาด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องใช้เทอร์โมมิเตอร์และเทอร์โมสแตทส์ในตู้ปลาของท่านอย่างแน่นอน
ในทางตรงกันข้ามผู้ที่เลี้ยงปลานอกบ้านหรือในบ้านที่ไม่ได้เปิดแอร์คอนดิชั่นจึงไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิดังกล่าว แต่ต้องระวัง อย่าวางตู้ปลาไว้ในที่แดดลงจัดหรือแสงแดดส่องกระทบโดยตรง เพราะแดดเมืองไทยแรงมากทำให้น้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้น และสูงเกินความอดทนของปลาได้ จึงเหมือนกับเป็นการต้มปลากินนั่นเอง เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นบ่อย ๆ สำหรับผู้หัดเลี้ยงปลาตู้และไม่ค่อยระวังเรื่องแสงแดด
การเลี้ยงปลาตู้ที่ดีนั้นควรให้อุณหภูมิของน้ำในตู้เปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด ทั้งนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ปลาไม่ต้องปรับอุณหภูมิในตัวมากแล้ว ยังช่วยไม่ให้เชื้อโรคต่าง ๆ เจริญเติบโตได้ เพราะเชื้อโรคจะหยุดการเจริญเติบโต หรือเจริญเติบโตได้ช้าในอุณหภูมิที่ไม่เปลี่ยนแปลง อีกอย่างหนึ่งก็คือการทำให้อุณหภูมิน้ำคงที่จะช่วยให้การแพร่พันธุ์ของปลาเป็นไปได้ดี
4. แสงสว่าง
แสงสว่างมีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อปลา เพราะแสงสว่างไม่ว่าจะเป็นแสงแดดหรือแสงที่มาจากโคมไฟ จะช่วยทำให้ตู้ปลาสว่างขึ้น เราสามารถเห็นปลาที่เราเลี้ยงได้ชัดเจนอีกทั้งแสงสว่างจะช่วยในการสังเคราะห์แสงของพืชน้ำในตู้ปลาช่วยให้เจริญเติบโตขึ้น ปลาจึงสามารถกินต้นไม้น้ำเป็นอาหารได้
และดังที่ได้กล่าวไว้ในข้อ 3 เรื่องแสงแดดที่ส่องมาที่ตู้ปลาไม่ควรเป็นแสงที่จัดนัก หรือโคมไฟส่องตู้ปลาก็ไม่ควรจะแรงมาก เพราะอุณหภูมิน้ำจะเปลี่ยนสูงขึ้น ทำให้เกิดอันตรายกับปลาได้ ควรใช้หลอดไฟที่มีขนาดไม่เกิน 25 วัตต์ จึงจะ เหมาะสม และควรเป็นแสงที่ส่องลงมาที่พื้นผิวน้ำจะเหมาะที่สุด
อย่าใช้ไฟที่ส่องจากด้านข้างตู้เป็นอันขาด เพราะไฟที่ส่องด้านข้างจะช่วยให้พยาธิตัวแบนเจริญเติบโตรวดเร็ว ซึ่ง
เป็นอันตรายต่อปลาอย่างมาก
5. ค่ากรด-ด่างของน้ำ และการถ่ายเทของน้ำในตู้ปลา
ค่าความเป็นกรด-ด่าง หรือค่าความถ่วงจำเพาะของสารละลายที่ปนอยู่ในน้ำก็มีผลต่อปลาที่เลี้ยงเหมือนกัน เพราะสิ่งที่มีชีวิตที่เรามองไม่เห็นจะเจริญเติบโตในน้ำได้ดี ถ้าน้ำในตู้ปลามีสารละลายเจือปนอยู่มาก
การถ่ายเทและการหมุนเวียนของน้ำก็สำคัญ เมื่อน้ำไม่มีการหมุนเวียน เหล่าบรรดาก๊าซที่เป็นพิษหรือเป็นที่ไม่ต้องการของปลาจะสะสมมากขึ้น ทำให้ปลาอึดอัด หายใจไม่สะดวก เกิดอันตรายต่อปลาได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นควรมีการถ่ายน้ำเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
6. เชื้อโรค
สาเหตุการป่วยของปลาส่วนใหญ่มักจะเกิดมาจากเชื้อโรค เพราะปลาต้องคลุกคลีสัมผัสอยู่กับเชื้อต่าง ๆ ที่ปะปนอยู่ในน้ำตลอดเวลา เชื้อโรคแต่ละชนิดจะทำอันตรายต่อปลาได้รุนแรงแตกต่างกัน การรักษาปลาที่ป่วยด้วยการติดเชื้อโรค
นั้นจะหายามาป้อนก็ไม่ได้ เพราะปลาไม่เหมือนกับสัตว์ชนิดอื่น ๆ
วิธีการรักษาแบบพื้น ๆ ที่สุดที่ทำกันมานานคือการฆ่าเชื้อโรคในตัวปลาโดยการนำเกลือป่นมาละลายน้ำในอัตราส่วน 2-3 ช้อนชา ต่อน้ำ 4-5 ลิตร แล้วนำปลามาแช่ ควรมีการควบคุมอุณหภูมิให้เป็นปกติตามสภาพอากาศในขณะนั้น อย่าให้น้ำเกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิมาก ปล่อยปลาให้ว่ายน้ำอยู่ในน้ำละลายเกลือนั้นแล้วสังเกตอาการจนกว่าจะดีขึ้น แต่ควรแยกเลี้ยงไว้ก่อน เพราะถ้าปล่อยไปรวมกับตัวอื่น ๆ ในตู้ จะทำให้ตัวอื่นติดเชื้อได้ ให้แน่ใจเสียก่อนว่าปลาที่ป่วยนั้นหายดีแล้วนอกจากนั้นการที่เราจะนำปลาตัวใหม่ที่เพิ่งซื้อมาใส่รวมในตู้ปลาก็ควรทำความสะอาดหรือฆ่าเชื้อโรคเสียก่อนเพื่อป้องกันการติดเชื้อมาจากที่อื่น โดยการนำปลาตัวใหม่มาแช่ในน้ำละลายเกลือป่นตามอัตราส่วนข้างต้นสักพัก แล้วปล่อยไปรวมกับปลาตัวอื่น ๆ ในตู้ได้