มาทำความรู้จัก กับธรรมชาติของปลากันเถอะ
ปลาตู้สวยงามที่เราเห็นกันอยู่โดยทั่วไปนั้น มีหลายพันธุ์ด้วยกัน แต่ละสายพันธุ์มีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันไป ปลาบางพันธุ์มีเกล็ดใหญ่ และสีสันต่างกันมากมาย แต่โดยทั่ว ๆ ไปแล้วปลาตู้ที่นิยมเลี้ยงกันไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ไหนก็ตามจะสามารถ แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้คือ
1. ปลาตู้ ชนิดที่ออกลูกเป็นไข่
ปลาชนิดนี้จะมีการผสมพันธุ์ที่แตกต่างจากชนิดอื่นคือตัวเมียจะทำการวางไข่ ซึ่งตัวเมียจะวางไข่ที่ต้นแม่น้ำ ก้อนหิน ก้อนกรวดใต้น้ำ จากนั้นปลาตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อออกมาผสมกับไข่ แล้วไข่จะฟักเป็นตัวในเวลาต่อมา ปลาที่ออกลูกเป็นไข่นี้ได้แก่ ปลาทอง ปลาเทวดา ฯลฯ ซึ่งจะสังเกตได้ว่าปลาที่ออกลูกเป็นไข่นี้ จะมีลักษณะและสีสันสวยงามมาก และเป็นที่นิยมเลี้ยงกันอย่างมากมาย
2. ปลาตู้ ชนิดที่ออกลูกเป็นตัว
ปลาชนิดนี้เมื่อผสมพันธุ์แล้วตัวเมียจะเริ่มตั้งท้องและฟักไข่ในท้องจนกว่าไข่จะเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ไข่จะถูกฟักตัวเป็นลูกปลาตัวเล็ก ๆ ในท้องของแม่ปลา เมื่อเป็นตัวอ่อนที่สมบูรณ์แล้ว ลูกปลาจะคลอดออกมาจากท้องแม่ปลา ปลาที่ออกลูกเป็นตัวนี้จะมีลูกไม่มากเท่าปลาที่ออกลูกเป็นไข่หรือชนิดอื่น ๆ ปลาตู้ที่อยู่ในประเภทนี้ ได้แก่ ปลาหางนกยูง
เป็นต้น
3. ปลาตู้ ชนิดก่อหวอด
ปลาชนิดนี้จะมีการผสมพันธุ์ที่แปลกแตกต่างไปจากปลาชนิดอื่นมากที่สุด คือปลาตัวผู้จะเป็นผู้ก่อหวอด หวอดในที่นี้จะมีลักษณะเหมือนพ่นฟองอากาศให้มาติดอยู่กับต้นไม้ในน้ำ จากนั้นตัวเมียจะพ่นไข่ออกมาให้ไปฝังติดอยู่กับหวอดที่ตัวผู้ทำไว้ จากนั้นไข่ปลาจะฟักตัวออกมาเป็นลูกปลา ปลาตู้ที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทยที่เป็นชนิดก่อหวอดนี้ ได้แก่ ปลากระดี่ ปลากัด ฯลฯ เป็นต้น
นอกเหนือจากปัจจัยในการเลี้ยงปลาตู้ให้แข็งแรงสมบูรณ์ดังได้กล่าวมาแล้วในบทต้น ๆ ก็ยังมีอีกอย่างที่ผู้เลี้ยงไม่ควรมองข้าม นั่นคือผู้เลี้ยงจะต้องศึกษาว่าปลาที่เลี้ยงไว้ แต่ละชนิดหรือแต่ละพันธุ์มีวิธีการเลี้ยงอย่างไร นิสัยของปลาเป็นเช่นไร สามารถเลี้ยงปลาชนิดใดรวมในตู้เดียวกันได้ ซึ่งเราได้อธิบายไว้ในบทที่ 4 โดยกล่าวถึงการแนะนำปลาที่น่าเลี้ยงเอาไว้แล้ว
แต่วิธีง่าย ๆ พอจะสรุปได้ในการเลือกปลาที่จะนำมาเลี้ยงนั้นคือ ให้ดูลักษณะภายนอกของปลานั้น ๆ เช่น ขนาด
ลำตัวของปลา สีสัน ความแข็งแรง และอุปนิสัยในการดำรงชีวิตเป็นอันดับแรก เพราะปลาบางชนิดมีนิสัยดุร้าย ชอบกัด และรังแกปลาชนิดอื่นอยู่เสมอ เพราะฉนั้นจึงไม่สามารถเลี้ยงรวมกันได้ อีกอย่างหนึ่ง ผู้ที่เลี้ยงปลามักจะเลี้ยงปลาได้ไม่ทนและปลาตายอยู่เสมอ ทำให้เกิดความท้อในการเลี้ยงปลาฉะนั้น การหาความรู้และศึกษาชนิดหรือพันธุ์ปลาก่อนจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเลือกเลี้ยงปลาตู้ของเรา
สรีระของปลา ที่ควรทราบ
A : กระดูกปิดเหงือก และเหงือก
B : ครีบอก
C : ครีบท้อง
D : ครีบทวาร
E : กระโดง
F : ครีบไขมัน
G : หาง
H : เส้นใช้ฟังเสียง อยู่ข้างลำตัวปลา
ปัญหาในการ แพร่พันธุ์ปลา
ในการเลี้ยงปลาจุดมุ่งหมายสูงสุดของผู้เลี้ยงนั้นคือ การอยากจะเห็นปลาที่ตนเองเลี้ยงมีลูกหรือขยายพันธุ์ออกมามากมาย แต่มีผู้เลี้ยงบางรายเลี้ยงปลามานานแต่ไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้สักที ทั้งนี้เราอาจจะสรุปได้ว่าเขาอาจจะประสบปัญหาดังต่อไปนี้
1. อายุของปลา
ปัจจัยในข้อนี้นับว่าเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่งในการเพาะพันธุ์ปลา ซึ่งผู้เลี้ยงอาจไม่ได้จดจำหรือใส่ใจในวัยของปลา บางครั้งอาจปล่อยให้ปลามีอายุมากเกินไป คือพูดง่าย ๆ ว่าเกินวัยเจริญพันธุ์ หรือตรงกันข้าม ปลาบางชนิดจะมีรูปร่าง และการเจริญเติบโตเร็วมาก ผู้เลี้ยงจึงอาจเหมาเอาว่าปลาชนิดนั้นสามารถเพาะพันธุ์ได้แล้ว แต่แท้ที่จริงปลานั้นอาจอ่อนเยาว์เกินไป ส่วนมากปลาที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์จะมีอายุประมาณ 8 เดือนจึงเหมาะสมที่จะนำมาขยายพันธุ์ สิ่งที่ควรคำนึงอีกข้อหนึ่งคือความสะดวก ในการเลือกปลาที่จะนำมาเพาะพันธุ์นั้น ควรแยกปลาที่มีอายุมากออกจากปลาที่มีอายุน้อย เพื่อไม่ให้มีการปะปนกัน และผู้เลี้ยงจะได้ไม่สับสนอีกด้วย
2. อาหาร
อาหารเป็นปัญหาที่อาจเรียกได้ว่าสำคัญมากที่สุดในการแพร่พันธุ์ปลา เพราะชนิดของอาหารที่ให้แก่ปลานั้นอาจมีผลทำให้เป็นอุปสรรคในการแพร่พันธุ์ของปลา ในปัจจุบันมีอาหารเม็ดหรืออาหารสำเร็จรูปสำหรับปลาวางขายอยู่มากมายและผู้เลี้ยงก็นิยมซื้อมาให้ปลากินอยู่เสมอ ๆ ปลาบางชนิดจะไม่เหมาะกับอาหารสำเร็จรูป จึงทำให้แพร่พันธุ์ช้า เพราะฉะนั้นผู้เลี้ยงควรสังเกตการกินอาหารในแต่ละครั้งของปลาว่าปลา ตอบสนองต่ออาหารที่ให้อย่างไร ถ้าปลาไม่สนใจอาหาร ท่านควรเปลี่ยนชนิดของอาหารปลานั้นเสียใหม่ แต่ถ้าปลากินอย่างต่อเนื่องแสดงว่าปลากินอาหารชนิดนั้นได้ แต่อาหารที่ปลามักจะโปรดปรานมากเป็นพิเศษนั่นคืออาหารตามธรรมชาติ เช่น ลูกน้ำ ไรแดง เป็นต้น แต่สมัยนี้หายากพอสมควร
อีกอย่างหนึ่งที่ท่านควรคำนึงในการให้อาหารปลาปริมาณในการให้อาหารไม่ควรให้มากหรือน้อยเกินไป เวลาที่ให้อาหารควรจะให้พอประมาณ โดยสังเกตได้จากการกินที่ปลาจะไม่สนใจกินอาหารที่เราให้นั้น ถ้าเป็นเช่นนี้ แสดงว่าอิ่มแล้ว ไม่ควรให้อาหารมากเกินความจำเป็น เพราะจะมีผลทำให้น้ำในตู้เน่าเสียเร็วขึ้น
3. น้ำในตู้ปลา
ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำให้มีความสะอาดอยู่เสมอ ๆ อีกทั้งดูแลปริมาณออกซิเจนจากเครื่องปั๊มให้เพียงพอ และปริมาณน้ำควรเหมาะสมต่อชนิดของปลาที่เลี้ยงด้วย จะยิ่งทำให้ปลาสามารถแพร่พันธุ์ได้ดียิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้น ปัจจัยที่มีผลต่อการแพร่พันธุ์ทั้ง 3 ข้อดังกล่าวข้างต้น จึงมีความสำคัญเท่า ๆ กัน ซึ่งผู้เลี้ยงจะละเลยไม่ได้ ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในการเลี้ยงปลาหรือเพาะพันธุ์ปลาก็ควรใส่ใจปลาที่เราเลี้ยงเสมอเหมือนกับญาติพี่น้องของตัวเอง
ปลาตู้สวยงามที่เราเห็นกันอยู่โดยทั่วไปนั้น มีหลายพันธุ์ด้วยกัน แต่ละสายพันธุ์มีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันไป ปลาบางพันธุ์มีเกล็ดใหญ่ และสีสันต่างกันมากมาย แต่โดยทั่ว ๆ ไปแล้วปลาตู้ที่นิยมเลี้ยงกันไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ไหนก็ตามจะสามารถ แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้คือ
1. ปลาตู้ ชนิดที่ออกลูกเป็นไข่
ปลาชนิดนี้จะมีการผสมพันธุ์ที่แตกต่างจากชนิดอื่นคือตัวเมียจะทำการวางไข่ ซึ่งตัวเมียจะวางไข่ที่ต้นแม่น้ำ ก้อนหิน ก้อนกรวดใต้น้ำ จากนั้นปลาตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อออกมาผสมกับไข่ แล้วไข่จะฟักเป็นตัวในเวลาต่อมา ปลาที่ออกลูกเป็นไข่นี้ได้แก่ ปลาทอง ปลาเทวดา ฯลฯ ซึ่งจะสังเกตได้ว่าปลาที่ออกลูกเป็นไข่นี้ จะมีลักษณะและสีสันสวยงามมาก และเป็นที่นิยมเลี้ยงกันอย่างมากมาย
2. ปลาตู้ ชนิดที่ออกลูกเป็นตัว
ปลาชนิดนี้เมื่อผสมพันธุ์แล้วตัวเมียจะเริ่มตั้งท้องและฟักไข่ในท้องจนกว่าไข่จะเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ไข่จะถูกฟักตัวเป็นลูกปลาตัวเล็ก ๆ ในท้องของแม่ปลา เมื่อเป็นตัวอ่อนที่สมบูรณ์แล้ว ลูกปลาจะคลอดออกมาจากท้องแม่ปลา ปลาที่ออกลูกเป็นตัวนี้จะมีลูกไม่มากเท่าปลาที่ออกลูกเป็นไข่หรือชนิดอื่น ๆ ปลาตู้ที่อยู่ในประเภทนี้ ได้แก่ ปลาหางนกยูง
เป็นต้น
3. ปลาตู้ ชนิดก่อหวอด
ปลาชนิดนี้จะมีการผสมพันธุ์ที่แปลกแตกต่างไปจากปลาชนิดอื่นมากที่สุด คือปลาตัวผู้จะเป็นผู้ก่อหวอด หวอดในที่นี้จะมีลักษณะเหมือนพ่นฟองอากาศให้มาติดอยู่กับต้นไม้ในน้ำ จากนั้นตัวเมียจะพ่นไข่ออกมาให้ไปฝังติดอยู่กับหวอดที่ตัวผู้ทำไว้ จากนั้นไข่ปลาจะฟักตัวออกมาเป็นลูกปลา ปลาตู้ที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทยที่เป็นชนิดก่อหวอดนี้ ได้แก่ ปลากระดี่ ปลากัด ฯลฯ เป็นต้น
นอกเหนือจากปัจจัยในการเลี้ยงปลาตู้ให้แข็งแรงสมบูรณ์ดังได้กล่าวมาแล้วในบทต้น ๆ ก็ยังมีอีกอย่างที่ผู้เลี้ยงไม่ควรมองข้าม นั่นคือผู้เลี้ยงจะต้องศึกษาว่าปลาที่เลี้ยงไว้ แต่ละชนิดหรือแต่ละพันธุ์มีวิธีการเลี้ยงอย่างไร นิสัยของปลาเป็นเช่นไร สามารถเลี้ยงปลาชนิดใดรวมในตู้เดียวกันได้ ซึ่งเราได้อธิบายไว้ในบทที่ 4 โดยกล่าวถึงการแนะนำปลาที่น่าเลี้ยงเอาไว้แล้ว
แต่วิธีง่าย ๆ พอจะสรุปได้ในการเลือกปลาที่จะนำมาเลี้ยงนั้นคือ ให้ดูลักษณะภายนอกของปลานั้น ๆ เช่น ขนาด
ลำตัวของปลา สีสัน ความแข็งแรง และอุปนิสัยในการดำรงชีวิตเป็นอันดับแรก เพราะปลาบางชนิดมีนิสัยดุร้าย ชอบกัด และรังแกปลาชนิดอื่นอยู่เสมอ เพราะฉนั้นจึงไม่สามารถเลี้ยงรวมกันได้ อีกอย่างหนึ่ง ผู้ที่เลี้ยงปลามักจะเลี้ยงปลาได้ไม่ทนและปลาตายอยู่เสมอ ทำให้เกิดความท้อในการเลี้ยงปลาฉะนั้น การหาความรู้และศึกษาชนิดหรือพันธุ์ปลาก่อนจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเลือกเลี้ยงปลาตู้ของเรา
สรีระของปลา ที่ควรทราบ
A : กระดูกปิดเหงือก และเหงือก
B : ครีบอก
C : ครีบท้อง
D : ครีบทวาร
E : กระโดง
F : ครีบไขมัน
G : หาง
H : เส้นใช้ฟังเสียง อยู่ข้างลำตัวปลา
ปัญหาในการ แพร่พันธุ์ปลา
ในการเลี้ยงปลาจุดมุ่งหมายสูงสุดของผู้เลี้ยงนั้นคือ การอยากจะเห็นปลาที่ตนเองเลี้ยงมีลูกหรือขยายพันธุ์ออกมามากมาย แต่มีผู้เลี้ยงบางรายเลี้ยงปลามานานแต่ไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้สักที ทั้งนี้เราอาจจะสรุปได้ว่าเขาอาจจะประสบปัญหาดังต่อไปนี้
1. อายุของปลา
ปัจจัยในข้อนี้นับว่าเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่งในการเพาะพันธุ์ปลา ซึ่งผู้เลี้ยงอาจไม่ได้จดจำหรือใส่ใจในวัยของปลา บางครั้งอาจปล่อยให้ปลามีอายุมากเกินไป คือพูดง่าย ๆ ว่าเกินวัยเจริญพันธุ์ หรือตรงกันข้าม ปลาบางชนิดจะมีรูปร่าง และการเจริญเติบโตเร็วมาก ผู้เลี้ยงจึงอาจเหมาเอาว่าปลาชนิดนั้นสามารถเพาะพันธุ์ได้แล้ว แต่แท้ที่จริงปลานั้นอาจอ่อนเยาว์เกินไป ส่วนมากปลาที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์จะมีอายุประมาณ 8 เดือนจึงเหมาะสมที่จะนำมาขยายพันธุ์ สิ่งที่ควรคำนึงอีกข้อหนึ่งคือความสะดวก ในการเลือกปลาที่จะนำมาเพาะพันธุ์นั้น ควรแยกปลาที่มีอายุมากออกจากปลาที่มีอายุน้อย เพื่อไม่ให้มีการปะปนกัน และผู้เลี้ยงจะได้ไม่สับสนอีกด้วย
2. อาหาร
อาหารเป็นปัญหาที่อาจเรียกได้ว่าสำคัญมากที่สุดในการแพร่พันธุ์ปลา เพราะชนิดของอาหารที่ให้แก่ปลานั้นอาจมีผลทำให้เป็นอุปสรรคในการแพร่พันธุ์ของปลา ในปัจจุบันมีอาหารเม็ดหรืออาหารสำเร็จรูปสำหรับปลาวางขายอยู่มากมายและผู้เลี้ยงก็นิยมซื้อมาให้ปลากินอยู่เสมอ ๆ ปลาบางชนิดจะไม่เหมาะกับอาหารสำเร็จรูป จึงทำให้แพร่พันธุ์ช้า เพราะฉะนั้นผู้เลี้ยงควรสังเกตการกินอาหารในแต่ละครั้งของปลาว่าปลา ตอบสนองต่ออาหารที่ให้อย่างไร ถ้าปลาไม่สนใจอาหาร ท่านควรเปลี่ยนชนิดของอาหารปลานั้นเสียใหม่ แต่ถ้าปลากินอย่างต่อเนื่องแสดงว่าปลากินอาหารชนิดนั้นได้ แต่อาหารที่ปลามักจะโปรดปรานมากเป็นพิเศษนั่นคืออาหารตามธรรมชาติ เช่น ลูกน้ำ ไรแดง เป็นต้น แต่สมัยนี้หายากพอสมควร
อีกอย่างหนึ่งที่ท่านควรคำนึงในการให้อาหารปลาปริมาณในการให้อาหารไม่ควรให้มากหรือน้อยเกินไป เวลาที่ให้อาหารควรจะให้พอประมาณ โดยสังเกตได้จากการกินที่ปลาจะไม่สนใจกินอาหารที่เราให้นั้น ถ้าเป็นเช่นนี้ แสดงว่าอิ่มแล้ว ไม่ควรให้อาหารมากเกินความจำเป็น เพราะจะมีผลทำให้น้ำในตู้เน่าเสียเร็วขึ้น
3. น้ำในตู้ปลา
ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำให้มีความสะอาดอยู่เสมอ ๆ อีกทั้งดูแลปริมาณออกซิเจนจากเครื่องปั๊มให้เพียงพอ และปริมาณน้ำควรเหมาะสมต่อชนิดของปลาที่เลี้ยงด้วย จะยิ่งทำให้ปลาสามารถแพร่พันธุ์ได้ดียิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้น ปัจจัยที่มีผลต่อการแพร่พันธุ์ทั้ง 3 ข้อดังกล่าวข้างต้น จึงมีความสำคัญเท่า ๆ กัน ซึ่งผู้เลี้ยงจะละเลยไม่ได้ ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในการเลี้ยงปลาหรือเพาะพันธุ์ปลาก็ควรใส่ใจปลาที่เราเลี้ยงเสมอเหมือนกับญาติพี่น้องของตัวเอง