ปลาคาร์พ หรือ ปลาแฟนซีคาร์พ (CARP)
ปลาคาร์พ หรือแฟนซีคาร์พเลี้ยงง่าย โตไว มีสีสันสวยงาม เป็นปลาที่มีอายุยืนที่สุดในโลก
ปลาคาร์พแบ่งประเภทได้ดังต่อไปนี้
1. โคฮากุ มีสีแดงขาวสลับกัน
2. ไทโช-ซันเก้ มีสีขาว แดง และดำสลับกัน ที่หัวจะมีสีแดงเป็นหลัก
3. โชวา-ซันโซกุ มีสีแดง ขาว และดำ และมีสีดำมาสลับลำตัวถึงใต้ท้อง
4. อุตซูริโมโนะ มีสีดำเป็นลายแถบ คล้ายตาข่าย สลับด้วยสีขาว
5. เบกโกะ มีสีดำเป็นตาสลับเหมือนตาข่ายตลอดทั้งลำตัว เกล็ดสีขาว
6. อาซากิ ซูซุย มีสีน้ำเงินอ่อนสลับเทา
7. โคโรโมะ มีเกล็ดสีน้ำเงินเหลือบผสมตลอดทั้งตัว
8. คาวาริโมโนะ มีสีสันแปลกกว่าปลาพันธุ์อื่น
9. โอกอน พันธุ์เหลืองทอง มีเกล็ดสีขาวเงางาม และมีสีทองผสม
10. ฮิการิโมโย-โมโน ลำตัวสีเหลืองอ่อน มีสีแดงสลับดำตลอดทั้งตัว
11. ฮิการิ-อุตซูริโมโนะ ลำตัวสีเหลืองอ่อน มีสีแดงกับดำสลับ
12. คินกินริน เกล็ดสีทองและเงินสลับกันทั้งตัว
13. ตันโจ ลำตัวมีสีขาว ที่หัวมีจุดสีแดงเข้ม
วิธีการเลี้ยงปลาคาร์พ
ควรเริ่มขุดบ่อขนาดกว้าง 80 เซนติเมตร ยาว 120 เซนติเมตร ลึก 50 เซนติเมตร มีสะดือที่ก้นบ่อ ขนาดกว้าง 1 ฟุต ยาว 2 ฟุต ลึกประมาณ 4-6 นิ้ว เพื่อเป็นที่เก็บปลา และสิ่งสกปรก และติดตั้งระบบถ่ายเทน้ำเสียเพื่อช่วยให้น้ำในบ่อสะอาดอยู่ตลอดเวลา
1. บ่อที่จะใช้เลี้ยงปลาคาร์พควรเป็นบ่อซีเมนต์ เพราะมีตะไคร่น้ำเกิดและเกาะได้เร็ว ซึ่งตะไคร่น้ำนั้นจะเป็นอาหารที่ดีของปลา และสามารถดูดสิ่งสกปรกที่อยู่ในน้ำได้ และบ่อควรจะตั้งอยู่ในที่มีความร่มรื่นพอสมควร อย่าให้อยู่กลางแจ้ง
จะทำให้สีของปลาจางลง ปลาจะเติบโตช้าด้วย และทางที่ดีบ่อควรจะติดตั้งระบบหมุนเวียนของน้ำ ซึ่งเป็นการเพิ่มออกซิเจนในน้ำและเป็นผลดีต่อปลาอีกด้วย
2. น้ำที่ใช้เลี้ยงควรเป็นน้ำประปา เพราะมีสภาพเป็นกลาง ถ้าใช้น้ำฝนจะทำลายสีของปลาและจะเกิดโรคได้ง่ายส่วนน้ำจากแม่น้ำลำคลองอาจมีเชื้อโรคเป็นอันตรายกับปลาได้ หากไม่มีน้ำประปาต้องใส่ยาฆ่าเชื้อและเติมปูนขาวเพื่อปรับสภาพน้ำให้เป็นกลางเสียก่อน แล้วค่อยเลี้ยงปลาได้
การนำปลาคาร์พมาเลี้ยง
เมื่อเตรียมบ่อและน้ำเรียบร้อยแล้ว การจะหาปลามาเลี้ยงควรหาลูกปลาที่มีอายุ 1-2 ปี ไม่ควรจะนำปลาขนาดใหญ่และปลาชนิดอื่นมาเลี้ยงรวมกับปลาคาร์พ เพราะอาจนำเชื้อโรคมาได้
อาหารของปลาคาร์พ คือ เนื้อปลาป่น กุ้งสดบด หอย เนื้อปู ปลาหมึก ข้าวสาลี รำข้าวโพด แมลง สาหร่าย ตะไคร่ ลูกน้ำ หนอนแดง ขนมปัง และอาหารสำเร็๋จรูปที่มีขาย
การให้อาหารควรให้ไม่เกินวันละ 2 เวลา เช้ากับเย็นและต้องให้ตามเวลา เพื่อให้เกิดความเคยชินและเชื่องกับผู้เลี้ยง อาหารต้องกะให้พอกับจำนวนปลา อย่าให้น้อยหรือมากเกินไป ถ้าอาหารหมดเร็ว แสดงว่าปลาต้องการอาหารเพิ่ม แต่ถ้าอาหารยังลอยน้ำอยู่ก็รีบตักออก เพราะจะทำให้น้ำเสีย
เมื่อเห็นน้ำในบ่อเริ่มขุ่นและมีสิ่งสกปรกต้องรีบเปลี่ยนน้ำทันที ขณะที่ถ่ายน้ำออก 1 ใน 3 ส่วน จะต้องเพิ่มน้ำใหม่แทนเท่าเดิม โดยใช้น้ำประปาที่เก็บไว้ประมาณ 2-3 วัน ซึ่งคลอรีนระเหยแล้ว อย่าใช้น้ำประปาที่รองจากก๊อกใหม่ ๆ จะเกิดอันตรายแก่ปลา
หากต้องการให้สีสันของปลาสดใส หลังจากเปลี่ยนน้ำแล้วจะต้องเพิ่มออกซิเจนลงในน้ำ เพื่อให้ปลาปรับสภาพกับน้ำใหม่ได้แล้วนำเอาสาหร่ายสไปรูลีน่ามาผสมกับอาหารให้ปลาจะเป็นการเร่งสีสันให้กับปลาได้
การรักษาและป้องกันโรคปลาคาร์พ
โรคของปลาคาร์พ มีดังต่อไปนี้
1. การถ่ายน้ำในบ่อบ่อยครั้งจนเกินไป หรือย้ายปลาบ่อยจนเกินไป
เชื้อไซโคลติก้าที่อยู่ในน้ำจะทำลายปลา ทำให้เกิดเป็นแผลที่ผิวหนังและตาย
วิธีการรักษา : ควรใช้เกลือป่นและด่างทับทิมละลายลงในน้ำเพื่อฆ่าเชื้อก่อนจะนำไปใช้เลี้ยงปลา สำหรับปลาเป็นโรค
ให้แช่ปลาในน้ำนี้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง
2. หางและครีบเน่า
เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในน้ำ มาจากขี้ปลาและเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ในบ่อ
วิธีการรักษา : ต้องรีบถ่ายน้ำทำความสะอาดบ่อโดยเร็วใช้มาลาไคท์กรีนผสมน้ำในอัตรา 1 ขีด ต่อน้ำ 1 ลิตร จับปลาแช่ในน้ำติดต่อกัน 3-4 วัน
3. เนื้อแหว่ง
เกิดจากปลาได้รับบาดเจ็บจนเป็นแผล ทำให้เกล็ดหลุดและมีจุดขาว ๆ ตามลำตัว เกิดอาการอักเสบ บวม เป็นรอยช้ำเลือด และตายไปในที่สุด
วิธีการรักษา : ใช้ยาปฏิชีวนะออริโอมัยซินผสมกับอาหารในอัตรา 1 ช้อนชาต่ออาหาร 1 ขีด ให้ปลากินติดต่อกันจนหายขาด
4. เชื้อราบนผิวหนัง
ทำให้เนื้อปลาเน่าเปื่อย ถ้าไม่รีบรักษาปลาจะตาย
วิธีรักษา : นำปลามาแช่ในน้ำที่ละลายเกลือป่นเจือจางเอาสำลีชุบน้ำยาฟูราเนททำความสะอาดที่บาดแผลแล้วจับปลาแช่ในน้ำผสมยา
5. ลำไส้อักเสบ
เนื่องจากมีราปนอยู่ในอาหาร ทำให้ปลามีมูกเลือดปนออกมากับอุจจาระ
วิธีการรักษา : ต้องรีบทิ้งอาหารเก่าให้หมด เอาปลาขึ้นมาแช่น้ำเกลือที่เจือจาง แล้วให้อาหารอ่อน ๆ เช่น ลูกไรแดง
แล้วค่อยให้อาหารสำเร็จรูปตามปกติ
6. พยาธิเส้นด้าย
ติดมาจากอาหารที่ปลากินเข้าไป และออกมาสร้างรังตามใต้เกล็ดปลา ทำให้ผิวหนังปลาแดงช้ำ ๆ
วิธีการรักษา : ให้นำปลาไปแช่ในน้ำเกลือที่เจือจางประมาณ 1-2 วัน พยาธิก็จะตาย
การเพาะพันธุ์ ปลาคาร์พ
การเพาะพันธุ์ปลาคาร์พต้องเริ่มจากการเลือกพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ก่อน เพื่อจะได้ลูกปลาที่ดีและแข็งแรง
การพิจารณาคัดเลือกพันธุ์พ่อ-แม่ของปลาควรพิจารณาจากสีสันที่สวยสดใส รูปร่างที่ดี และต้องมีขนาดเดียวกัน อายุต้องอยู่ระหว่าง 3 ปี ถึง 10 ปี ตัวมีขนาด 40-50 เซนติเมตร
การดูเพศ ปลาคาร์พ
1. รูปร่างตัวเมียมีขนาดใหญ่และสวยกว่า ตัวผู้รูปร่างสั้น
2. ส่วนหัวของตัวเมียได้สัดส่วนกับลำตัว ส่วนตัวผู้หัวใหญ่ ลำตัวสั้น
3. ท้องตัวเมียอ้วนและจับดูนิ่ม ตัวผู้ท้องแห้งไม่นิ่ม
4. ครีบหางตัวเมียไม่แข็ง ตัวผู้แข็งแรงกว่า
5. ช่องทวารตัวเมียยาวตามขวาง นูนขึ้น ตัวผู้ยาวตามลำตัว แฟบและแบน
เมื่อคัดเลือกพันธุ์มาได้แล้ว เอาสาหร่ายเทียมที่ทำด้วยไนลอนวางลงในอ่างสำหรับเป็นที่วางไข่ ให้ตัวเมียวางไข่ในเวลากลางวัน โดยตัวผู้จะไล่ให้ตัวเมียวางไข่จนหมด แล้วตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อผสม
หลังจากวางไข่และผสมน้ำเชื้อแล้ว จับปลาตัวผู้และตัวเมียออกให้ไข่เริ่มฟักตัวภายใน 3 วัน ไข่จะเริ่มฟักและประมาณ 15 วันต่อมาจะเป็นตัวอ่อน
ช่วงเวลาที่เป็นตัวอ่อน ควรให้แพลงก์ตอน ลูกไรแดงหรือไข่แดงสุก กรองผ้าให้ตัวอ่อนกิน แต่ระวังอย่าให้กินมาก และอย่าให้น้ำเสีย จากนั้น 3 เดือน ลูกปลาจะเริ่มมีสีสัน แสดงให้รู้ว่าเป็นปลาคาร์พชนิดไหน
ปลาคาร์พ หรือแฟนซีคาร์พเลี้ยงง่าย โตไว มีสีสันสวยงาม เป็นปลาที่มีอายุยืนที่สุดในโลก
ปลาคาร์พแบ่งประเภทได้ดังต่อไปนี้
1. โคฮากุ มีสีแดงขาวสลับกัน
2. ไทโช-ซันเก้ มีสีขาว แดง และดำสลับกัน ที่หัวจะมีสีแดงเป็นหลัก
3. โชวา-ซันโซกุ มีสีแดง ขาว และดำ และมีสีดำมาสลับลำตัวถึงใต้ท้อง
4. อุตซูริโมโนะ มีสีดำเป็นลายแถบ คล้ายตาข่าย สลับด้วยสีขาว
5. เบกโกะ มีสีดำเป็นตาสลับเหมือนตาข่ายตลอดทั้งลำตัว เกล็ดสีขาว
6. อาซากิ ซูซุย มีสีน้ำเงินอ่อนสลับเทา
7. โคโรโมะ มีเกล็ดสีน้ำเงินเหลือบผสมตลอดทั้งตัว
8. คาวาริโมโนะ มีสีสันแปลกกว่าปลาพันธุ์อื่น
9. โอกอน พันธุ์เหลืองทอง มีเกล็ดสีขาวเงางาม และมีสีทองผสม
10. ฮิการิโมโย-โมโน ลำตัวสีเหลืองอ่อน มีสีแดงสลับดำตลอดทั้งตัว
11. ฮิการิ-อุตซูริโมโนะ ลำตัวสีเหลืองอ่อน มีสีแดงกับดำสลับ
12. คินกินริน เกล็ดสีทองและเงินสลับกันทั้งตัว
13. ตันโจ ลำตัวมีสีขาว ที่หัวมีจุดสีแดงเข้ม
วิธีการเลี้ยงปลาคาร์พ
ควรเริ่มขุดบ่อขนาดกว้าง 80 เซนติเมตร ยาว 120 เซนติเมตร ลึก 50 เซนติเมตร มีสะดือที่ก้นบ่อ ขนาดกว้าง 1 ฟุต ยาว 2 ฟุต ลึกประมาณ 4-6 นิ้ว เพื่อเป็นที่เก็บปลา และสิ่งสกปรก และติดตั้งระบบถ่ายเทน้ำเสียเพื่อช่วยให้น้ำในบ่อสะอาดอยู่ตลอดเวลา
1. บ่อที่จะใช้เลี้ยงปลาคาร์พควรเป็นบ่อซีเมนต์ เพราะมีตะไคร่น้ำเกิดและเกาะได้เร็ว ซึ่งตะไคร่น้ำนั้นจะเป็นอาหารที่ดีของปลา และสามารถดูดสิ่งสกปรกที่อยู่ในน้ำได้ และบ่อควรจะตั้งอยู่ในที่มีความร่มรื่นพอสมควร อย่าให้อยู่กลางแจ้ง
จะทำให้สีของปลาจางลง ปลาจะเติบโตช้าด้วย และทางที่ดีบ่อควรจะติดตั้งระบบหมุนเวียนของน้ำ ซึ่งเป็นการเพิ่มออกซิเจนในน้ำและเป็นผลดีต่อปลาอีกด้วย
2. น้ำที่ใช้เลี้ยงควรเป็นน้ำประปา เพราะมีสภาพเป็นกลาง ถ้าใช้น้ำฝนจะทำลายสีของปลาและจะเกิดโรคได้ง่ายส่วนน้ำจากแม่น้ำลำคลองอาจมีเชื้อโรคเป็นอันตรายกับปลาได้ หากไม่มีน้ำประปาต้องใส่ยาฆ่าเชื้อและเติมปูนขาวเพื่อปรับสภาพน้ำให้เป็นกลางเสียก่อน แล้วค่อยเลี้ยงปลาได้
การนำปลาคาร์พมาเลี้ยง
เมื่อเตรียมบ่อและน้ำเรียบร้อยแล้ว การจะหาปลามาเลี้ยงควรหาลูกปลาที่มีอายุ 1-2 ปี ไม่ควรจะนำปลาขนาดใหญ่และปลาชนิดอื่นมาเลี้ยงรวมกับปลาคาร์พ เพราะอาจนำเชื้อโรคมาได้
อาหารของปลาคาร์พ คือ เนื้อปลาป่น กุ้งสดบด หอย เนื้อปู ปลาหมึก ข้าวสาลี รำข้าวโพด แมลง สาหร่าย ตะไคร่ ลูกน้ำ หนอนแดง ขนมปัง และอาหารสำเร็๋จรูปที่มีขาย
การให้อาหารควรให้ไม่เกินวันละ 2 เวลา เช้ากับเย็นและต้องให้ตามเวลา เพื่อให้เกิดความเคยชินและเชื่องกับผู้เลี้ยง อาหารต้องกะให้พอกับจำนวนปลา อย่าให้น้อยหรือมากเกินไป ถ้าอาหารหมดเร็ว แสดงว่าปลาต้องการอาหารเพิ่ม แต่ถ้าอาหารยังลอยน้ำอยู่ก็รีบตักออก เพราะจะทำให้น้ำเสีย
เมื่อเห็นน้ำในบ่อเริ่มขุ่นและมีสิ่งสกปรกต้องรีบเปลี่ยนน้ำทันที ขณะที่ถ่ายน้ำออก 1 ใน 3 ส่วน จะต้องเพิ่มน้ำใหม่แทนเท่าเดิม โดยใช้น้ำประปาที่เก็บไว้ประมาณ 2-3 วัน ซึ่งคลอรีนระเหยแล้ว อย่าใช้น้ำประปาที่รองจากก๊อกใหม่ ๆ จะเกิดอันตรายแก่ปลา
หากต้องการให้สีสันของปลาสดใส หลังจากเปลี่ยนน้ำแล้วจะต้องเพิ่มออกซิเจนลงในน้ำ เพื่อให้ปลาปรับสภาพกับน้ำใหม่ได้แล้วนำเอาสาหร่ายสไปรูลีน่ามาผสมกับอาหารให้ปลาจะเป็นการเร่งสีสันให้กับปลาได้
การรักษาและป้องกันโรคปลาคาร์พ
โรคของปลาคาร์พ มีดังต่อไปนี้
1. การถ่ายน้ำในบ่อบ่อยครั้งจนเกินไป หรือย้ายปลาบ่อยจนเกินไป
เชื้อไซโคลติก้าที่อยู่ในน้ำจะทำลายปลา ทำให้เกิดเป็นแผลที่ผิวหนังและตาย
วิธีการรักษา : ควรใช้เกลือป่นและด่างทับทิมละลายลงในน้ำเพื่อฆ่าเชื้อก่อนจะนำไปใช้เลี้ยงปลา สำหรับปลาเป็นโรค
ให้แช่ปลาในน้ำนี้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง
2. หางและครีบเน่า
เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในน้ำ มาจากขี้ปลาและเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ในบ่อ
วิธีการรักษา : ต้องรีบถ่ายน้ำทำความสะอาดบ่อโดยเร็วใช้มาลาไคท์กรีนผสมน้ำในอัตรา 1 ขีด ต่อน้ำ 1 ลิตร จับปลาแช่ในน้ำติดต่อกัน 3-4 วัน
3. เนื้อแหว่ง
เกิดจากปลาได้รับบาดเจ็บจนเป็นแผล ทำให้เกล็ดหลุดและมีจุดขาว ๆ ตามลำตัว เกิดอาการอักเสบ บวม เป็นรอยช้ำเลือด และตายไปในที่สุด
วิธีการรักษา : ใช้ยาปฏิชีวนะออริโอมัยซินผสมกับอาหารในอัตรา 1 ช้อนชาต่ออาหาร 1 ขีด ให้ปลากินติดต่อกันจนหายขาด
4. เชื้อราบนผิวหนัง
ทำให้เนื้อปลาเน่าเปื่อย ถ้าไม่รีบรักษาปลาจะตาย
วิธีรักษา : นำปลามาแช่ในน้ำที่ละลายเกลือป่นเจือจางเอาสำลีชุบน้ำยาฟูราเนททำความสะอาดที่บาดแผลแล้วจับปลาแช่ในน้ำผสมยา
5. ลำไส้อักเสบ
เนื่องจากมีราปนอยู่ในอาหาร ทำให้ปลามีมูกเลือดปนออกมากับอุจจาระ
วิธีการรักษา : ต้องรีบทิ้งอาหารเก่าให้หมด เอาปลาขึ้นมาแช่น้ำเกลือที่เจือจาง แล้วให้อาหารอ่อน ๆ เช่น ลูกไรแดง
แล้วค่อยให้อาหารสำเร็จรูปตามปกติ
6. พยาธิเส้นด้าย
ติดมาจากอาหารที่ปลากินเข้าไป และออกมาสร้างรังตามใต้เกล็ดปลา ทำให้ผิวหนังปลาแดงช้ำ ๆ
วิธีการรักษา : ให้นำปลาไปแช่ในน้ำเกลือที่เจือจางประมาณ 1-2 วัน พยาธิก็จะตาย
การเพาะพันธุ์ ปลาคาร์พ
การเพาะพันธุ์ปลาคาร์พต้องเริ่มจากการเลือกพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ก่อน เพื่อจะได้ลูกปลาที่ดีและแข็งแรง
การพิจารณาคัดเลือกพันธุ์พ่อ-แม่ของปลาควรพิจารณาจากสีสันที่สวยสดใส รูปร่างที่ดี และต้องมีขนาดเดียวกัน อายุต้องอยู่ระหว่าง 3 ปี ถึง 10 ปี ตัวมีขนาด 40-50 เซนติเมตร
การดูเพศ ปลาคาร์พ
1. รูปร่างตัวเมียมีขนาดใหญ่และสวยกว่า ตัวผู้รูปร่างสั้น
2. ส่วนหัวของตัวเมียได้สัดส่วนกับลำตัว ส่วนตัวผู้หัวใหญ่ ลำตัวสั้น
3. ท้องตัวเมียอ้วนและจับดูนิ่ม ตัวผู้ท้องแห้งไม่นิ่ม
4. ครีบหางตัวเมียไม่แข็ง ตัวผู้แข็งแรงกว่า
5. ช่องทวารตัวเมียยาวตามขวาง นูนขึ้น ตัวผู้ยาวตามลำตัว แฟบและแบน
เมื่อคัดเลือกพันธุ์มาได้แล้ว เอาสาหร่ายเทียมที่ทำด้วยไนลอนวางลงในอ่างสำหรับเป็นที่วางไข่ ให้ตัวเมียวางไข่ในเวลากลางวัน โดยตัวผู้จะไล่ให้ตัวเมียวางไข่จนหมด แล้วตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อผสม
หลังจากวางไข่และผสมน้ำเชื้อแล้ว จับปลาตัวผู้และตัวเมียออกให้ไข่เริ่มฟักตัวภายใน 3 วัน ไข่จะเริ่มฟักและประมาณ 15 วันต่อมาจะเป็นตัวอ่อน
ช่วงเวลาที่เป็นตัวอ่อน ควรให้แพลงก์ตอน ลูกไรแดงหรือไข่แดงสุก กรองผ้าให้ตัวอ่อนกิน แต่ระวังอย่าให้กินมาก และอย่าให้น้ำเสีย จากนั้น 3 เดือน ลูกปลาจะเริ่มมีสีสัน แสดงให้รู้ว่าเป็นปลาคาร์พชนิดไหน